livescore878-22-รวม-5-เกมนัดชิงในความทรงจำ-ที่พลิกล็อกจนช็อกโลก

รวม 5 เกมนัดชิงในความทรงจำ ที่พลิกล็อกจนช็อกโลก

เพื่อนๆ เคยดูเกมบอลนัดชิงที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินมั้ย? นาทีที่นักเตะตัวใหญ่เหงื่อแตก หัวใจเต้นระรัว ทะเลแฟนบอลกดดันจนสนามแทบระเบิด ความฝันและความหวังของทั้งสองทีมแขวนอยู่บนเส้นด้าย… แล้วทันใดนั้น “ปาฏิหาริย์” ก็เกิดขึ้น! บางเกมทีมเต็งที่ควบคุมเกมได้อย่างเหนือชั้นทั้ง 90 นาที กลับต้องพ่ายแพ้เพราะ “นาทีเดียว” ที่ประตูรั่ว จังหวะเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่าง! บางเกมทีมที่ไม่มีใครคาดคิด ทีมที่ไม่มีชื่อแม้แต่ในฝัน กลับสามารถช้อนถ้วยแชมป์ด้วย “ลูกเด็ด” ที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์! นี่แหละเสน่ห์ของฟุตบอลนัดชิง—”ทุกอย่างจบที่เสียงนกหวีด ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!” วันนี้ผมจะพาไปฟาดฟันอารมณ์กับ 5 เกมนัดชิงในความทรงจำ ที่พลิกโผจนโลกตะลึง ตั้งแต่ทีมยักษ์ใหญ่ที่พลาดท่าล้มลงกลายเป็นขี้เถ้า ไปจนถึงทีมเล็กๆ ที่สร้างเรื่องราวสุดลุ้นระทึกที่ทำให้นั่งไม่ติดเก้าอี้ จนแฟนบอลต้องกุมขมับ รับรองว่าอ่านจบ คุณจะรีบกดหาคลิปเกมเหล่านั้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีกทันที!


1. ปี 1950 เกมนัดชิงในความทรงจำ “มาราคานาโซ” – วันที่สนามเหย้าสุดอลังการกลายเป็นฝันร้ายของคนทั้งชาติ!

1. ปี 1950 เกมนัดชิงในความทรงจำ _มาราคานาโซ_ – วันที่สนามเหย้าสุดอลังการกลายเป็นฝันร้ายขอ

เพื่อนๆ รู้มั้ยว่าเกมนี้มันไม่ใช่แค่การแพ้ฟุตบอล แต่คือ “แผ่นดินไหวครั้งใหญ่” ที่สั่นสะเทือนทั้งวงการลูกหนังบราซิล! ย้อนไปวันที่ 16 กรกฎาคม 1950 สนามมาราคาน่าที่อัดแน่นไปด้วยแฟนบอลเกือบ 2 แสนคน กำลังรอชมประวัติศาสตร์ที่ทุกคนคิดว่า “ต้องเกิดขึ้นแน่” — แชมป์โลกครั้งแรกของบราซิล!

บราซิลออกสตาร์ทร้อนแรงแบบไร้ใครเทียบ! ก่อนถึงเกมนี้ พวกเขาไล่ถล่มทุกคู่แบบไม่ไว้หน้า ทั้งสวีเดน 7-1 อังกฤษ 6-1 นักเตะอย่าง ฟริอาซ่า กับ อาดัมีร์ ลงสนามเหมือนรถถังที่พร้อมบดขยี้ทุกทีม! แฟนบอลถึงขั้นนัดกันเตรียมปาร์ตี้รอฉลองแชมป์ตั้งแต่ก่อนเกมเริ่ม! เกมเริ่มต้นก็เป็นไปตามคาด… นาทีที่ 47 ฟริอาซ่า ยิงประตูขึ้นนำให้บราซิล 1-0 เสียงเชียร์ในสนามดังจนหูแทบแตก ทุกคนคิดว่า “นี่ล่ะ… จุดเริ่มต้นของชัยชนะ!”

แต่ฟุตบอล… ก็คือฟุตบอล! อุรุกวัยที่ดูเหมือนเป็นเพียงตัวประกอบ กลับไม่ยอมแพ้! พวกเขาตั้งหลักใหม่แบบเยือกเย็น ถึงจะโดนบุกกระหน่ำแต่ก็ไม่หวั่นไหว แล้วในนาทีที่ 66 ฮวน อัลชาฟฟิโน่ ก็ซัดเสมอ 1-1 สนามที่เคยคึกคักกลายเป็นสุสานในทันที.. นาทีที่ 79 — เวลาที่เปลี่ยนทุกอย่าง! อัลซิเดส ฆีฆีอา กองหน้าชาวอุรุกวัย ฉกจังหวะพลาดของกองหลังบราซิลได้อย่างแม่นยำ กระชากบอลเข้าไปยิงผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไปอย่างจัง 2-1! เสียงกรีดร้องของแฟนบอลอุรุกวัยเพียงหยิบมือ กลบเสียงเงียบงันของแฟนบอลเจ้าถิ่นที่ยังไม่เชื่อว่า “นี่คือความจริง!”

ทำไมพลิกล็อกครั้งนี้ถึงสั่นสะเทือนโลกฟุตบอล?

บราซิลในปี 1950 ถูกยกให้เป็น “ทีมในฝัน” ที่ไม่มีทางแพ้ในเกมนี้ แต่ใครจะเชื่อว่าแฟนบอลกว่า 200,000 คน ที่มาราคาน่าจะกลายเป็น “แรงกดดันมหาประลัย” ทำให้นักเตะเจ้าถิ่นเครียดจนเล่นผิดพลาดไปหมด ขณะที่อุรุกวัยเล่นด้วยความ “เลือดเย็น” ไม่สนเสียงโห่ ใช้โอกาสเพียงสองครั้ง และทั้งสองครั้งก็กลายเป็นประตูชัย พลิกประวัติศาสตร์ฟุตบอลไปตลอดกาล เกมนี้ยังเป็นตัวอย่างชัดเจนของสถิติครองบอลสูงสุด — บราซิลครองบอลกว่า 60% และมีโอกาสยิงกว่า 20 ครั้ง แต่สุดท้ายกลับแพ้ เพราะขาดความเด็ดขาดในจังหวะชี้ขาด นี่คือหลักฐานว่าการครองเกมไม่ได้การันตีชัยชนะเสมอไป และฟุตบอลยังคงเป็นกีฬาที่ “อะไรก็เกิดขึ้นได้” จนวินาทีสุดท้าย!

น้ำตา… และบทเรียนที่ไม่มีวันลืม!

หลังนกหวีดหมดเวลา สนามมาราคาน่าเต็มไปด้วย “ความเงียบสยอง” แฟนบอลบางคนร้องไห้จนตัวโยน บางคนถึงขั้นช็อกหมดสติ! นักเตะบราซิลถูกตราหน้าว่า “ผู้แพ้ชาติ” ไปอีกนาน แต่เรื่องราวไม่ได้จบแค่นั้น! ความเจ็บปวดนี้เองที่ทำให้บราซิลลุกขึ้นมาสร้างตำนานใหม่ พวกเขาปรับระบบฝึกซ้อม ศึกษาจุดอ่อน และพัฒนาเทคนิคการเล่น จนกลายเป็น “แชมป์โลก 5 สมัย” ในเวลาต่อมา! สรุปสั้นๆ มาราคานาโซสอนเราว่า ฟุตบอลคือเกมที่ “หัวใจ” สำคัญกว่า “ตัวเลข” และไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน… จงระวัง “ความประมาท” ในวินาทีสุดท้าย!


2. ปี 2012 โคปปา อิตาเลีย – วันที่ยักษ์ใหญ่ล้มไม่เป็นท่า

2. ปี 2012 โคปปา อิตาเลีย – วันที่ยักษ์ใหญ่ล้มไม่เป็นท่า

อีกนัดที่เป็น เกมนัดชิงในความทรงจำ คืนนั้นสนามโอลิมปิโก กลายเป็นศูนย์กลางของความตื่นเต้นที่ไม่มีใครคาดคิด! นาโปลี ทีมลูกหนังใต้เทือกเขาเวซูเวียส กำลังจะท้าดวลกับ ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่แห่งตูรินที่เพิ่งคว้าแชมป์เซเรียอาแบบไร้พ่ายทั้งฤดูกาล! แฟนบอลทั่วอิตาลีต่างคิดว่า “เกมนี้ยูเวนฯ ต้องชนะแน่” แต่ฟุตบอลก็สอนเราอีกครั้งว่า… “ความมั่นใจเกินร้อย อาจพังทลายในนาทีเดียว!” ยูเวนตุส แชมป์ลีกไร้พ่าย แต่ดันสะดุดในนัดชี้ชะตา!

ต้องยอมรับว่ายูเวนฯ ยุค อันโตนิโอ คอนเต้ นั้นดุเดือดจริงๆ แผงหลัง BBC (บาร์ซาญี-โบนุชชี่-คิเอลลินี) แข็งแกร่งราวกำแพงเหล็ก ไล่ถล่มทุกทีมในเซเรียอาจนไร้พ่าย 38 นัด! แถมพวกเขายังมีเป้าหมายชัดเจน… “ดับเบิ้ลแชมป์” ด้วยการคว้าโคปปา อิตาเลียให้ได้!

แต่แล้ว แผนรบของ “พี่ใหญ่” กลับพังเพราะ “แผนสวนกลับ” ของนาโปลี! วอลเตอร์ มาซซารี กุนซือนาโปลีรู้ดีว่าเปิดเกมบุกใส่มิได้ เขาจึงสั่งให้ทีม “ยืนตึกถล่มยักษ์” ด้วยการตั้งรับแน่นหนา รอจังหวะสวนกลับแบบจี๊ดๆ! แถมเกมนี้ยูเวนฯ ยังขาด จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารมือหนึ่งไปแบบไม่ทันตั้งตัว นี่ล่ะจุดอ่อนที่นาโปลีจ้องเจาะ!

นาทีชี้ชะตาที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์

  • นาที 63: เอดินสัน คาวานี่ ซิวจุดโทษจากความผิดพลาดของกองหลังยูเวนฯ แล้วยิงปังเข้าไปแบบไม่มีชิ้นดี! 1-0!
  • นาที 83: มาเร็ค ฮัมซิค หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษแบบเงียบๆ กระชากบอลยิงตัดเล็บผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไปอีก! 2-0!

สนามทั้งสนามเงียบกริบ… แฟนบอลยูเวนฯ หน้าแตก ส่วนแฟนนาโปลีที่ตามมาดูเพียงหยิบมือ กลับกรี๊ดร้องจนเสียงแตก! นี่คือแชมป์โคปปา อิตาเลียครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 25 ปี!

ทำไมพลิกล็อกนี้ถึงสั่นสะเทือนวงการ?

ใครจะเชื่อว่ายูเวนตุสที่ไร้พ่ายมา 42 เกมติด จะมาสะดุดในนัดสำคัญแบบนี้! แผงหลัง BBC ที่ใครๆ ก็ยกให้เป็นกำแพงเหล็ก กลับโดนนาโปลีแทงทะลุซะ 2 ลูกรวด จากจังหวะบุกแค่ไม่กี่ครั้ง เกมนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าคุณมีความอดทนและรู้จักฉกฉวยโอกาส คุณก็มีสิทธิ์ชนะทีมใหญ่ได้! และนี่คือบทเรียนสำหรับทีมที่มีแนวรับแข็งแกร่งที่สุดเลยล่ะ – ต่อให้แนวรับคุณจะแน่นแค่ไหน แต่ถ้าเจอทีมที่สวนกลับแบบขยี้ขย้ำอย่างนาโปลี กำแพงเหล็กก็พังครืนได้เหมือนกัน!

ผลลัพธ์หลังเกม – บทเรียนที่ยูเวนฯ ไม่เคยลืม!

แม้ยูเวนฯ จะเจ็บปวดกับความพ่ายแพ้ แต่พวกเขาก็ใช้ความผิดหวังนี้เป็นเชื้อไฟ คว้าแชมป์ลีกต่ออีก 8 สมัยรวด ส่วนนาโปลี… พวกเขากลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งการท้าทายอำนาจเก่า” ของวงการลูกหนังอิตาลี และปูทางสู่ยุคทองในอีกทศวรรษถัดมา! เห็นเลยครับ เกมนี้สอนว่า ต่อให้คุณคือ “ราชา” แต่ถ้ามองข้าม “ยาจก” ที่หิวโหย คุณอาจต้องเสียบัลลังก์ในวันสำคัญที่สุด!


3. ปี 2012 เชลซี สยบ บาเยิร์นมิวนิค – ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

3. ปี 2012 เชลซี สยบ บาเยิร์นมิวนิค – ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

ในแมชต์ที่มิวนิคเป็นเจ้าภาพ แฟนบอลเจ้าถิ่นเตรียมฉลองแชมป์ แต่กลับต้องช็อกไปตลอดชีวิต วันที่ 19 พฤษภาคม 2012 คือค่ำคืนที่แฟนเชลซีไม่มีวันลืม นัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค vs เชลซี ถูกจัดขึ้นที่ อัลลิอันซ์อารีน่า บ้านของเสือใต้ บาเยิร์น คือ ทีมที่เหนือกว่าทุกกระบวนท่า พวกเขาครองเกมได้หมด สร้างโอกาสจบสกอร์ได้เป็นสิบครั้ง ในขณะที่เชลซีซึ่งขาดผู้เล่นหลักหลายคน ต้องเน้นเกมรับสุดชีวิต แฟนบอลบาเยิร์นกว่า 70,000 คน ในสนามมั่นใจว่านี่คือคืนแห่งชัยชนะของพวกเขาอย่างแน่แท้

บาเยิร์นขึงเกม แต่เชลซีมี “หัวใจ”

บาเยิร์นกดดันเชลซีแทบหายใจไม่ออก ครองบอลเหนือชั้นถึง 60% ยิงถล่มยิบ 35 ครั้ง แต่เจาะไม่เข้าสักที จนนาที 83 โธมัส มุลเลอร์ โขกบอลเข้าไปให้บาเยิร์นนำ 1-0 แฟนบอลเสือใต้กรี๊ดลั่นสนาม คิดว่าแชมป์มาแน่แล้ว แต่นั่นแหละ… ฟุตบอลมันไม่เคยจบง่ายๆ อีก 5 นาทีต่อมา เชลซีได้เตะมุมครั้งสุดท้าย ดร็อกบาพุ่งโขกสุดแรง บอลพุ่งเสียบตาข่าย 1-1! จากที่แฟนบอลบาเยิร์นเตรียมฉลองแชมป์ กลับต้องยืนตะลึง เหมือนโดนสาดน้ำเย็น!

เกมนัดชิงในความทรงจำ จุดโทษช็อกโลก – ค่ำคืนที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์

ต่อเวลาพิเศษ บาเยิร์นได้จุดโทษทอง แต่ร็อบเบนกลับพลาด! เช็กเซฟได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่เกมจะลากยาวไปถึงดวลจุดโทษ ทุกคนคิดว่าบาเยิร์นน่าจะเอาอยู่ แต่โชคกลับเข้าข้างเชลซี ชไวนี่ซัดไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย แล้วดร็อกบาก็ก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่ ยิงจุดโทษลูกชี้ชะตาเข้าไปอย่างเฉียบขาด พาสิงห์บลูส์คว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์!

ทำไมเกมนี้ถึงเป็นพลิกล็อกครั้งประวัติศาสตร์?

แค่คิดดูว่า บาเยิร์นเล่นในบ้านตัวเอง มีแฟนบอลเชียร์กระหึ่มสนาม แถมครองเกมได้เหนือชั้นแบบสุดๆ แต่ก็ยังพ่ายให้กับเชลซีที่แทบไม่มีโอกาสยิงประตูเลย ที่หนักกว่านั้น เชลซียังขาดตัวหลักไปตั้ง 4 คน ทั้ง จอห์น เทอร์รี่, รามิเรส, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช และ ราอูล เมยเรเลส แต่พวกเขาก็สู้ได้อย่างสุดใจตลอด 120 นาที จนคว้าแชมป์ได้ในที่สุด ต้องยกให้ดร็อกบาที่เป็นฮีโร่ของเกมนี้ ทั้งประตูตีเสมอนาที 88 และจุดโทษลูกชี้ชะตา นี่แหละคือ “ฮีโร่” ตัวจริง และเป็นตัวอย่างของ กองหน้าทำแอสซิสต์สูงสุด ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า กองหน้าระดับโลกไม่ได้เก่งแค่ยิงประตู แต่ต้องช่วยทีมได้ในทุกๆ จังหวะ

เชลซี – จาก “เกือบล้มละลาย” สู่แชมป์ยุโรป

ชัยชนะในคืนนี้ไม่ได้แค่พาเชลซีคว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรก แต่ยังเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของสโมสร จากทีมที่เคยแทบล้มละลาย ก่อนที่ “เสี่ยโรมัน” อับราโมวิช จะเข้ามาอุ้ม ทีมที่โดนด่าว่า “ซื้อแชมป์ด้วยเงิน” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีทั้งทีมเวิร์ค ความเชื่อมั่น และหัวใจนักสู้ด้วย ทำให้คืนนี้ไม่ใช่แค่ชนะบาเยิร์น แต่มันคือชัยชนะของ “หัวใจสิงห์” ที่ไม่เคยยอมแพ้ เป็นบทเรียนว่าในโลกลูกหนัง ถ้ามีใจสู้และเชื่อมั่น เราก็ชนะได้แม้จะเป็นรองทุกด้าน


4. ปี 2016 โปรตุเกส ช็อกเจ้าภาพฝรั่งเศส – ยูโร

4. ปี 2016 โปรตุเกส ช็อกเจ้าภาพฝรั่งเศส – ยูโร

คืนนั้นที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ บรรยากาศมันส์สุดๆ แฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 75,000 คนแน่นขนัด ทุกคนตั้งตารอฉลองแชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 แต่สุดท้ายกลับต้องผิดหวังแบบสุดๆ เมื่อทีมเต็ง 1 อย่างฝรั่งเศสที่ดูจะเหนือกว่าทุกอย่าง ดันพลาดท่าให้โปรตุเกสเฉือนชนะ 1-0 ในช่วงต่อเวลา ทั้งที่ทีมฝอยทองเสียตัวเก่งอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้ ไปตั้งแต่ต้นเกม นี่เลยกลายเป็นหนึ่งในเกมชิงที่ช็อกโลกสุดๆ!

ฝรั่งเศสข่มมิดทุกด้าน แต่กลับพลาดแชมป์คาบ้าน

พูดถึงทีมตราไก่ชุดนี้ต้องบอกว่าแกร่งจริงๆ ในยูโร 2016 พวกเขามีซูเปอร์สตาร์เพียบ ทั้ง อ็องตวน กรีซมันน์, ปอล ป็อกบา และ ดิมิทรี ปาเยต ที่ฟอร์มร้อนแรงมาตลอดทัวร์นาเมนต์ แถมยังได้เล่นในบ้าน มีแฟนบอลเชียร์กระหึ่มสนาม และเพิ่งจะถล่มแชมป์โลกอย่างเยอรมนีมา 2-0 ในรอบรองฯ แบบสบายๆ

ส่วนโปรตุเกสนี่ตรงข้ามสุดๆ เข้าชิงมาแบบงูๆ ปลาๆ ไม่เคยชนะใครเลยใน 90 นาทีจนถึงรอบรองฯ เน้นตั้งรับแล้วหวังพึ่งลูกเด็ดจาก คริสเตียโน โรนัลโด้ คนเดียว ใครๆ ก็คิดว่าฝรั่งเศสน่าจะเก็บแชมป์สบาย แต่นี่แหละฟุตบอล… ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

โปรตุเกสเสียโรนัลโด้ แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกม

เพียงนาทีที่ 25 โรนัลโด้ได้รับบาดเจ็บจากจังหวะปะทะกับปาเยต จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกทั้งน้ำตา แฟนบอลโปรตุเกสทั่วโลกแทบหมดหวัง เพราะนี่คือเสาหลักของพวกเขา แต่กลายเป็นว่า หลังจากเสียโรนัลโด้ ทีมฝอยทองกลับยืนหยัดสู้ด้วยทีมเวิร์ค พวกเขาเล่นกันอย่างมีระเบียบวินัย อุดแน่นในแดนหลัง และอดทนรอโอกาสสวนกลับ ฝรั่งเศสยังคงบุกหนักและเกือบได้ประตูจากกรีซมันน์และชิรูด์ แต่ รุย ปาตริซิโอ นายทวารโปรตุเกสโชว์ฟอร์มสุดยอด เซฟลูกยิงสำคัญหลายครั้ง จนสามารถพาทีมยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

จังหวะทองของเอแดร์ ที่เขียนประวัติศาสตร์

นาทีที่ 109 ของช่วงต่อเวลา… เอแดร์ กองหน้าตัวสำรองที่แทบไม่มีใครรู้จัก รับบอลจากมูตินโญ่ แล้วทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน! เขาพาบอลไปสองสามก้าว ก่อนซัดด้วยขวาอย่างเฉียบคม บอลพุ่งเสียบเสาสวยงาม! แฟนบอลโปรตุเกสกรี๊ดลั่นสนาม 1-0! ฝรั่งเศสพยายามเท่าไหร่ก็เจาะไม่เข้า จนกระทั่งนกหวีดเป่าจบ… และแล้วประวัติศาสตร์ก็ถูกจารึก! โปรตุเกสคว้าแชมป์ยูโรเป็นครั้งแรก!

ฝรั่งเศสทั้งประเทศช็อก! โปรตุเกสแค้นใหญ่คว้าถ้วยด้วยหัวใจนักสู้”

คืนนั้น… สนามสต๊าด เดอ ฟรองซ์ อัดแน่นไปด้วยแฟนบอลฝรั่งเศสเกือบ 8 หมื่นคน พร้อมโบกธงรอฉลองแชมป์ในบ้าน แต่ใครจะรู้ว่าโมเมนต์สุดช็อกกำลังรออยู่! ฝรั่งเศสคือ “ทีมเต็ง” ที่ไม่มีใครกล้าเถียง! ก่อนเกม ทุกคนฟันธงว่า “เสือโคร่ง” เจ้าถิ่นที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง กรีซมันน์-ป็อกบา-ปาเยต ต้องชนะแน่ แถมพึ่งถล่มแชมป์โลกเยอรมนี 2-0 ในรอบรอง! ส่วนโปรตุเกส… แค่ผ่านเข้ารอบมาด้วยการ “เสมอตลอดทาง” แบบไม่ชนะใครใน 90 นาที แถมยังต้องเสีย โรนัลโม่ ซูเปอร์สตาร์ตัวจริงตั้งแต่ครึ่งแรกเพราะบาดเจ็บ!

เมื่อ “ราชันย์” หลุดเกม “ทหารรับจ้าง” จึงลุกขึ้นสู้! หลังโรนัลโดะออกทั้งน้ำตา โปรตุเกสกลับ “เล่นเป็นทีม” มากขึ้น! พวกเขาตั้งรับเป็นกำแพง ใช้แท็กติก “รอจังหวะสวนเด็ด” แถมยังมี ปาตริซิโอ นายทวารเทพเซฟลูกยิงของฝรั่งเศสแบบไม่ไว้หน้า! ทั้งที่ฝรั่งเศสยิง 18 ครั้ง แต่ดันเจาะตาข่ายไม่ได้สักลูก

นาทีที่ 109 – เวลาที่เปลี่ยน “ตัวประกอบ” เป็น “พระเอก”! ช่วงต่อเวลาพิเศษ… เอแดร์ กองหน้าตัวสำรองที่แทบไม่มีใครจำชื่อ รับบอลจากมูตินโญ่กลางสนาม ก่อนลากบอลหนีแนวรับฝรั่งเศสแบบไม่แคร์สื่อ แล้วยิงไกล 20 หลาเสียบเสาเข้าไป! 1-0! สนามทั้งสนามเงียบสนิท… แฟนบอลฝรั่งเศสหน้าเซียว ส่วนนักเตะโปรตุเกสวิ่งกรูกันไปกอดเอแดร์แบบน้ำตาซึม!

พลิกล็อกครั้งนี้สอนอะไรเรา?

  • “ทีมเต็ง” ที่ได้เปรียบทุกอย่าง ก็แพ้ได้ถ้าขาดความเฉียบคม
  • “ความสามัคคี” ชนะ “ตัวดาวเด่น” โปรตุเกสพิสูจน์แล้วว่า 11 คนในสนามสำคัญกว่าหนึ่งตัวเทพ!
  • “เสื้อแข่งสีแดง-เขียว” จากที่เคยถูกมองว่าเชย กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งแชมป์ยุโรปครั้งแรกของโปรตุเกส

จุดเปลี่ยนที่โปรตุเกสหลุดจากคำว่า ‘ทีมรอง’!”

ถ้วยแชมป์ยูโร 2016 ของโปรตุเกสไม่ใช่แค่ถ้วยแรกในตู้โชว์… มันคือสัญลักษณ์แห่งการลุกขึ้นสู้ของทีมที่โลกไม่เคยเชื่อว่า “ทำได้”! ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกตราหน้าว่าเป็นแค่ “ทีมรองบ่อน” ที่มีแต่โรนัลโด้กับนักเตะเก่าๆ แต่หลังคว้าแชมป์ยุโรปครั้งนั้น… โปรตุเกสเปลี่ยนไปแล้ว! จาก “ฝอยทอง” สู่ “ราชันย์ยุโรป”

หลังเกมชิงที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ โปรตุเกสไม่ใช่ทีมเดิมอีกต่อไป! นักเตะรุ่นใหม่อย่าง เบอร์นาร์โด ซิลวา, รูเบน เนเวส และ โจเอา เฟลิกซ์ เริ่มฉายแวว พวกเขานำเลือดใหม่และความเชื่อมั่นที่ได้จากแชมป์ยูโรมาสร้างทีมที่ “ไม่เกรงใจใคร” แม้แต่ในเกมยุโรป!

3 ปีต่อมา… พิสูจน์อีกครั้งด้วย “แชมป์เนชันส์ลีก 2019” โปรตุเกสไม่หยุดแค่นั้น! ในปี 2019 พวกเขาคว้า UEFA Nations League ด้วยการถล่มเนเธอร์แลนด์ในนัดชิงแบบขาดลอย โรนัลโด่ ที่ตอนนั้นอายุ 34 แล้ว ยังทำประตูในเกมนั้นได้ แถมรุ่นน้องอย่าง โกนซาโล เกดึช ก็โชว์ฟอร์มเทพ! นี่คือการประกาศว่า… โปรตุเกสคือทีมที่ต้องจับตามองในทุกทัวร์นาเมนต์! ชัยชนะในยูโร 2016 ไม่ได้เปลี่ยนแค่ทีม… แต่เปลี่ยน “วัฒนธรรมการเชียร์” ของแฟนบอลโปรตุเกสด้วย! เสื้อทีมชาติที่เคยขายดีแค่ช่วงเกมใหญ่ กลายเป็น “เครื่องแบบต้องมี” ของทุกบ้าน ตามลิงก์ วิวัฒนาการเสื้อทีมชาติ สรุปแบบคนดูละคร: เกมนี้สอนให้รู้ว่า… ต่อให้คุณไม่มี “ซุปเปอร์สตาร์” หรือ “สถิติเด่น” แต่ถ้ามี “หัวใจลุย” และ “ความเชื่อมั่นในทีม” คุณก็สร้างตำนานได้! โปรตุเกสพิสูจน์แล้วว่า “ความฮึด” ชนะ “ความเฮี้ยน” ของโชคชะตาเสมอ!


5. ปี 2022 อาร์เจนตินา ดับฝันฝรั่งเศส – เกมนัดชิงในความทรงจำ ฟุตบอลโลก

5. ปี 2022 อาร์เจนตินา ดับฝันฝรั่งเศส – เกมนัดชิงในความทรงจำ ฟุตบอลโลก

สนามลูเซล สเตเดียม คืนนั้นแทบระเบิดด้วยเสียงเชียร์และความตื่นเต้น นัดชิงที่ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันคือเกมในตำนานของฟุตบอลโลก” อาร์เจนตินาและฝรั่งเศส สองยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครอยากเจอ มาดวลกันในคืนสุดท้ายที่กาตาร์ เกมที่เต็มไปด้วยดราม่าจนแทบกลั้นหายใจ

90 นาทีแห่งความบ้าคลั่ง – จากฝันที่เกือบเป็นจริง สู่ฝันร้ายที่พลิกลำ

พอนกหวีดเริ่มเกม อาร์เจนตินาก็ระเบิดฟอร์มแบบไม่มีกั๊ก! เล่นเหนือชั้นกว่าฝรั่งเศสแทบทุกตารางนิ้ว สู้ไม่ถอย รับแน่น เข้าทำดุ นาที 23 เมสซีซัดจุดโทษนำ 1-0 แล้ว ดิมาเรีย ก็มาบวกอีกลูกนาที 36 เป็น 2-0 แฟนบอลฟ้าขาวทั่วโลกเริ่มกรี๊ดกร๊าด ฝันถึงแชมป์โลกสมัยที่ 3 แล้ว ขณะที่ฝรั่งเศสแทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเลยตลอดครึ่งแรก

แต่พอครึ่งหลัง ฝรั่งเศสก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นแชมป์เก่า! ตามหลัง 2-0 แต่ไม่ยอมจบ เอ็มบัปเป้พลิกเกมจนแฟนอาร์เจนฯ หัวใจแทบวาย ซัดจุดโทษไล่มา 2-1 นาที 80 แล้วอีกแค่นาทีเดียว! ก็วอลเลย์สุดสวยตีเสมอ 2-2 เกมพลิกจนทุกคนตะลึง!

ต่อเวลาพิเศษยิ่งมันส์! เมสซีซัดให้อาร์เจนตินานำ 3-2 นาที 108 แต่เอ็มบัปเป้ก็ไม่ยอมแพ้ ซัดจุดโทษตีเสมอ 3-3 นาที 118 จนต้องดวลจุดโทษตัดสิน สุดท้ายอาร์เจนตินาเฉียบกว่า ยิงเข้าหมด ขณะที่ฝรั่งเศสพลาด 2 ลูก ฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ไปครอง ในเกมที่จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตลอดกาล!

ทำไมเกมนี้ถึงเป็นพลิกล็อกครั้งใหญ่?

เกมนี้สุดจะดราม่าจนน่าจะเอาไปทำหนังได้เลย! ฝรั่งเศส ทีมเต็งแชมป์เก่าที่ใครๆ ก็คิดว่า “ไม่มีทางแพ้” เพราะมีขุมกำลังเทพๆ ทั้งทีม แถมยังมี เอ็มบัปเป้ ที่ลงมาเล่นแบบโหดสุดขั้ว ถึงขั้นทำ แฮตทริกในนัดชิง ได้แบบไม่ให้เกียรติใคร! แต่ฟุตบอลมันก็คือฟุตบอล… อาร์เจนตินา ทีมที่ถูกมองว่า “ยังไม่เวิร์ค” หลังแพ้ซาอุดีอาระเบียในเกมแรก กลับฮึดสู้แบบไม่ยอมแพ้! พวกเขาเล่นเป็นทีม “เน้นระบบ+วินัยเหล็ก” แถมยังมี เมสซี ที่ไม่ใช่แค่ยิงประตู แต่เป็น “หัวหอก+ผู้คุมเกม” ไปพร้อมกัน!

เกมนี้มันพลิกล็อกยังไง?

  • ฝรั่งเศสตามหลัง 2-0 ในครึ่งแรก แต่ เอ็มบัปเป้ ระเบิดสกิลเทพตีเสมอ 2-2 ในนาที 80 กับ 81 แบบติดกันเปรี๊ยะ!
  • ต่อเวลาพิเศษ ทั้งคู่ยิงกันเละไม่เป็นท่า เมสซียิงนำ 3-2 แต่เอ็มบัปเป้ไม่ยอม! ซัดจุดโทษตีเสมอ 3-3 อีกครั้ง!
  • ดวลจุดโทษ อาร์เจนตินาเซฟทุกลูกแบบแม่นยำ ส่วนฝรั่งเศสพลาดสองครั้ง สุดท้าย… ฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3!

เมสซี… ไม่ใช่แค่เทพยิง! นอกจากยิง 2 ประตูในเกมชิง เมสซี ยังเป็น “ตัวสร้างเกม” ที่จ่ายบอลแม่นยำ พาทีมเดินหน้าอย่างมีชั้นเชิง แถมยังเป็น “ขวัญใจทีม” ที่คอยปลุกพลังให้เพื่อนร่วมทีมสู้ไม่ถอย! นี่ล่ะตัวอย่างของกองหน้าทำ ที่พิสูจน์ว่า “กองหน้าตัวจริง” ต้องสร้างเกมได้ ไม่ใช่แค่ยิงประตู! เกมนี้สอนว่า… ต่อให้คุณเจอ “ทีมเต็ง” ที่เหนือกว่าทุกสถิติ แต่ถ้ามี “หัวใจนักสู้” และ “กัปตันที่เลือดร้อน” อย่างเมสซี คุณก็พลิกทุกความคาดหมายได้! อาร์เจนตินาพิสูจน์แล้วว่า “ความสามัคคี” ชนะ “ดาวเด่นตัวเดียว” เสมอ!


ผมคิดว่าฟุตบอลเนี่ย มันช่างคล้ายละครน้ำเน่าที่พีคที่สุด! เดี๋ยวก็พลิกเดี๋ยวก็ล็อก จนเราต้องกุมขมับ เหมือนดูละครช่อง 7 ยุค 90s เลย! นัดชิงที่ใครๆ ก็คิดว่าทีมดังต้องเหมาเละ กลับกลายเป็นว่าทีมเล็กๆ มาเชือดเอาๆ จนแฟนบอลถึงกับต้องยืนขึ้นปรบมือรัวๆ! เคยเห็นมั้ย ทีมที่ว่าเทพจนใครๆ ก็ยกนิ้วให้ กลับโดนทีเด็ดแบบไม่ทันตั้งตัว หรือทีมที่ไม่มีใครรู้จัก ดันมาซัดประตูชัยนาทีท้ายๆ แบบสุดจะเซอร์ไพรส์! นี่แหละที่เค้าเรียกว่า “เสน่ห์ลูกหนัง” – มันไม่ได้วัดกันที่ชื่อเสียงหรอก แต่วัดกันที่หัวใจล้วนๆ

แท็กติกสวยหรูแค่ไหนก็สู้ “ใจสู้” ไม่ได้! ดูอย่างอาร์เจนฯ ที่เพิ่งเชือดฝรั่งเศสในบอลโลก หรือเลสเตอร์ที่ทำเซอร์ไพรส์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เหมือนหนังม้าสู้ที่ไม่มีใครคาดคิด! มันเลยทำให้เราติดงอมแงมเหมือนติดละครหลังข่าว ยิ่งทีมรักเจออะไรหนักๆ เรายิ่งลุ้นจนตัวโก่ง เพราะรู้ว่าแค่จังหวะเดียว… ทุกอย่างก็พลิกได้! สรุปง่ายๆ ว่าฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬา แต่มันคือละครชีวิตที่ทั้งฮา ทั้งเศร้า ทั้งซึ้ง จนเราถอนตัวไม่ขึ้น


คำถามที่พบบ่อย

1. ทำไมบางทีมที่เป็นต่อถึงพลาดท่าแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ?

แม้ทีมที่เป็นต่อจะมีขุมกำลังและฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งกว่า แต่ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีปัจจัยมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ความกดดันของเกมนัดชิง, การตัดสินใจของโค้ช, ความผิดพลาดเฉพาะตัวของนักเตะ, รวมถึงโมเมนตัมของเกม ทีมรองบ่อนที่เล่นอย่างมีวินัยและใช้โอกาสได้เฉียบขาดมักสร้างปาฏิหาริย์ในช่วงเวลาสำคัญได้

2. การครองบอลเยอะส่งผลต่อโอกาสชนะมากแค่ไหน?

แม้ว่าการครองบอลสูงมักบ่งบอกถึงการควบคุมเกม แต่ฟุตบอลไม่ได้วัดกันที่การครองบอลเพียงอย่างเดียว ทีมที่มีเปอร์เซ็นต์ครองบอลเยอะอาจไม่สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสยิงที่มีประสิทธิภาพได้ ในทางกลับกัน ทีมที่ครองบอลน้อยแต่มีเกมสวนกลับเฉียบคมและจบสกอร์ได้แม่นยำก็สามารถคว้าชัยชนะได้ ตัวอย่างเช่น อุรุกวัยในปี 1950 และโปรตุเกสในปี 2016 ที่เล่นเกมรับแน่นและอาศัยจังหวะสวนกลับสังหารทีมเต็งจนคว้าแชมป์

3. เกมนัดชิงไหนที่ถือว่าพลิกล็อกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล?

หากพูดถึงเกมที่พลิกล็อกที่สุด “มาราคานาโซ” ฟุตบอลโลก 1950 คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด บราซิลที่เป็นทีมเต็งแชมป์ขาดลอยและต้องการแค่ผลเสมอ แต่กลับพ่ายให้กับอุรุกวัยต่อหน้าแฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 200,000 คน ทำให้บรรยากาศจากเสียงเฮกลายเป็นความเงียบงันในพริบตา อีกเกมที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ โปรตุเกส vs ฝรั่งเศส ยูโร 2016 ที่โปรตุเกสเสียโรนัลโด้ตั้งแต่ครึ่งแรก แต่สุดท้ายกลับคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของประเทศได้สำเร็จ

4. มีโอกาสที่เราจะได้เห็นนัดชิงที่พลิกล็อกแบบนี้อีกหรือไม่?

แน่นอนว่าโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฟุตบอลคือเกมที่คาดเดาไม่ได้ ทุกทัวร์นาเมนต์มีทีมรองบ่อนที่สามารถสู้กับทีมใหญ่ได้อย่างสูสี โดยเฉพาะในยุคที่แท็กติกพัฒนาขึ้นและทีมเล็กสามารถปรับตัวให้เล่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฟุตบอลโลก 2022 ก็เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะอาร์เจนตินาแม้จะแพ้ให้กับซาอุดีอาระเบียตั้งแต่นัดแรก แต่สุดท้ายกลับเดินหน้าสู่แชมป์โลกได้สำเร็จ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ตรึงใจแฟนบอลทั่วโลก!